ด.ช.ธร์ธวัช ปินธุ เป็นบุตรของคุณแม่เฉลียว ทะนงลักษณ์ อายุ 37 ปี คุณแม่มีลูก 2 คน น้องเป็นลูกชายคนโต ส่วนน้องคนเล็กอายุ 9 ปี เป็นเด็กปกติดี คุณแม่เล่าว่าเดิมคุณแม่และคุณพ่อทำอาชีพรับจ้างเป็นคนงานก่อสร้าง ตอนตั้งท้องน้องชีพนั้น คุณแม่มีอาการแพ้ท้องหนักมาก จนต้องออกจากงานกลับไปอาศัยอยู่กับคุณตาคุณยายที่จังหวัดสระแก้ว และให้คุณพ่อมาทำงานรับจ้างที่กรุงเทพฯ เพียงคนเดียว คุณแม่ได้ไปฝากท้องที่โรงพยาบาลตาพระยา จังหวัดสระแก้ว คุณแม่ก็ได้ไปตรวจตามนัดมาโดยตลอด และคุณหมอก็บอกว่าน้องปกติดี จนกระทั่งตอนอายุครรภ์ได้ประมาณ 6 เดือน คุณแม่เริ่มมีอาการบวม ตัวบวมมากจนกระทั่งนุ่งกางเกงในยังไม่ได้เลย จึงได้ไปหาคุณหมอ คุณหมอแจ้งว่าไม่ได้เป็นอะไร จนกระทั่งพอ 8 เดือน คุณแม่ก็เริ่มมีอาการปวดหัวมาก จึงได้ไปพบคุณหมอ ซึ่งพอวัดความดันปรากฏว่าความดันสูงถึง 130-140 คุณหมอจึงได้ฉีดยาให้คุณแม่และให้นอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเพื่อเตรียมตัวผ่าคลอดน้องเลย เนื่องจากคุณแม่มีความดันสูงมากจึงมีความเสี่ยงที่จะเป็นอันตรายกับทั้งแม่และลูก
เมื่อผ่าคลอดน้องออกมา เนื่องจากเป็นการคลอดก่อนกำหนดและตรวจพบว่าน้องมีอาการหายใจเร็ว ตัวเขียวน้องจึงต้องเข้าตู้อบอยู่ที่โรงพยาบาลนานถึง 22 วัน แล้วจึงถูกส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลจันทบุรี 3 วันแล้วทางโรงพยาบาลจันทบุรีก็ได้ส่งตัวให้มารักษาต่อที่โรงพยาบาลเด็ก น้องอยู่โรงพยาบาลได้ 2-3 วันพออาการดีขึ้นก็กลับบ้านได้ และก็มีการนัดมาตรวจติดตามอาการเป็นระยะ จนกระทั่งน้องอายุได้ 2.5 ปี ทางโรงพยาบาลเด็กก็ได้ประสานมายังมูลนิธิเพื่อสนับสนุนการผ่าตัดหัวใจเด็กให้ทำการผ่าตัดรักษาน้องชีพ โดยน้องชีพได้รับการผ่าตัดครั้งแรก เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2561 ที่ศูนย์หัวใจของมูลนิธิเพื่อสนับสนุนการผ่าตัดหัวใจเด็ก โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ประชาชื่น และได้มาเข้ารับการผ่าตัดครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2561 ที่โรงพยาบาลราชวิถี ครั้งนี้น้องต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลทั้งหมด 18 วัน ก่อนทำการผ่าตัดนั้น คุณแม่เล่าว่าน้องมักจะป่วยบ่อยๆ แต่หลังจากได้รับการผ่าตัดไปแล้วน้องแข็งแรงขึ้นมาก เวลาเป็นหวัด หาคุณหมอกินยาก็หาย ไม่ต้องนอนโรงพยาบาลเหมือนแต่ก่อน
คุณแม่เล่าว่าตั้งแต่คุณพ่อเสียเมื่อปี 2560 เนื่องจากประสบอุบัติเหตุตกนั่งร้านตอนทำงานก่อสร้าง ก็ลำบากมาก เนื่องจากคุณแม่ต้องทำงานเพียงคนเดียว แต่เลี้ยงดูถึง 5 ชีวิต คือ คุณแม่ได้นำน้องชีพและลูกคนเล็กไปฝากไว้กับคุณตาคุณยายที่สระแก้ว เนื่องจากคุณแม่ต้องมาทำงานรับจ้างก่อสร้างแถวกรุงเทพฯ โดยที่คุณตาก็อายุ 90 กว่าแล้ว ไม่ค่อยแข็งแรงจึงไม่สามารถทำงานได้ ส่วนคุณยายนั้นเกิดอุบัติเหตุจนทำให้เส้นเอ็นที่ข้อมือขาดเลยกลายเป็นคนพิการ จึงทำงานไม่ได้เช่นเดียวกัน คุณแม่จึงทำงานหาเลี้ยงทั้งครอบครัวเพียงคนเดียว เวลาน้องต้องมาตรวจรักษานั้น คุณแม่ก็จะต้องนั่งรถทัวร์กลับไปรับน้องจากบ้านที่สระแก้วเพื่อมาตรวจที่กรุงเทพฯ เสร็จก็ต้องพากลับไปส่งที่บ้านคุณตาคุณยายแล้วคุณแม่ถึงจะกลับมาทำงานได้ ซึ่งอาชีพรับจ้างของคุณแม่นั้นได้รายได้เพียงวันละ 300 บาท แต่ต้องเลี้ยงถึง 5 ชีวิต คุณแม่บอกว่าบางเดือนก็ต้องอดเพื่อจะส่งเงินไปให้ครอบครัว ยิ่งถ้าน้องป่วยเดือนนั้นก็ยิ่งต้องใช้เงินมากขึ้นไปอีก แต่คุณแม่ก็บอกว่ายังไงก็จะไม่ทิ้งน้องก็จะพยายามทำงานเพื่อเลี้ยงน้องให้เติบโตเป็นคนดีของสังคมต่อไป