ชีวิตของหนู

         น้องจุฑาชัยหรือน้องอ๊อฟเป็นบุตรของคุณแม่แสงละพา พงศ์มา ปัจจุบันอายุ 44 ปี ทำอาชีพรับจ้างทำการก่อสร้าง ส่วนคุณพ่อบุญส่ง จันทร ทำงานที่โรงงาน คุณแม่เล่าให้ฟังว่า ตอนที่ท้องน้องอ๊อฟนั้น คุณแม่อายุ 22 ปี ทำงานโรงงานที่เดียวกับคุณพ่อน้องได้ค่าแรงวันละ 75 บาท พักอยู่บ้านพักคนงานในโรงงานกับคุณพ่อน้องอยู่ที่จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งคุณแม่ก็ฝากท้องตามปกติ คุณหมอก็ไม่ได้แจ้งอะไร จนกระทั่งคลอดน้องที่โรงพยาบาลบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี น้องอ๊อฟออกมาก็สมบูรณ์ดี น้ำหนัก 3100 กรัม ซึ่งหลังจากคลอดก็พาน้องไปตรวจและฉีควัคซีนตามนัดมาโดยตลอด ซึ่งทุกครั้งทางคุณหมอหรือเจ้าหน้าที่อนามัยก็ไม่เคยแจ้งว่าน้องมีความผิดปกติหรือเป็นโรคหัวใจอะไรเลย จนกระทั่งตอนน้องอายุได้ประมาณ 4 เดือน คุณแม่อุ้มน้องออกมาซื้อปลาหมึกย่างแถวหน้าโรงงาน คนขายปลาหมึกย่างได้ทักว่าน้องเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดนะเพราะหลานของเขาก็เป็นโรคนี้มีลักษณะเหมือนน้อง เขาเลยคิดว่าน้องน่าจะเป็นโรคนี้เหมือนกันเนื่องจากว่าน้องมีลักษณะเล็บมือเล็บเท้าเขียว ปากดำ แต่คุณแม่ก็ยังไม่ได้พาน้องไปตรวจหรือพบคุณหมอ เนื่องจากว่าคุณแม่กับคุณพ่อมีรายได้น้อย และพอทราบว่าการไปหาหมอต้องใช้เงินเยอะพอสมควร คุณแม่กับคุณพ่อจึงทำงานเก็บเงินก่อนจนกระทั่งน้องอายุได้ประมาณ 7 เดือน จึงได้พาน้องไปตรวจที่โรงพยาบาลอุทัยธานี ทางคุณหมอที่โรงพยาบาลอุทัยธานีได้ทำการตรวจคลื่นหัวใจให้และผลก็ออกมาว่าน้องอ๊อฟเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดจริง  ซึ่งทางโรงพยาบาลอุทัยธานีไม่มีแพทย์เฉพาะทางของโรคนี้ คุณหมอจึงได้ทำเรื่องส่งตัวน้องมาตรวจและรักษาตัวต่อที่สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินีหรือโรงพยาบาลเด็กเดิมเพื่อจะได้ทำการตรวจอย่างละเอียดว่าน้องเป็นโรคหัวใจชนิดไหนและจะได้ทำการรักษาได้อย่างถูกต้อง

               คุณแม่จึงได้พาน้องมาตรวจที่โรงพยาบาลเด็กตั้งแต่อายุได้ 7 เดือนและได้ทำการตรวจติดตามอาการมาโดยตลอดจนกระทั่งได้เข้ารับการสวนหัวใจที่โรงพยาบาลเด็กเมื่อน้องอายุได้ 2 ปี ซึ่งคุณหมอแจ้งว่าโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดของน้องนั้นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด และให้น้องรอคิวผ่าตัด หากได้คิวเมื่อไหร่จะมีเจ้าหน้าติดต่อกลับไป

               คุณแม่ก็รอมาโดยตลอด จนกระทั่งน้องอายุได้ประมาณ 7 ปี จึงได้รับการติดต่อจากมูลนิธิเพื่อสนับสนุนการผ่าตัดหัวใจเด็กว่าน้องได้คิวผ่าตัดแล้วให้พาน้องมาเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลราชวิถี ซึ่งก่อนการผ่าตัดครั้งแรกนั้น น้องเหนื่อยง่ายมาก เดินไม่กี่ก้าวน้องก็หอบ เวลาจะไปไหนคุณแม่หรือคุณพ่อก็ต้องอุ้มไปตลอด เล็บมือเล็บเท้าเขียว ปากเขียว และไม่สบายบ่อยมาก ตัวเล็ก ผอมดำ หลังเข้ารับการผ่าตัดครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2546 น้องตัวแดงมีเลือดฝาดดีขึ้น เริ่มหัดเดิน เดินได้แต่ยังไม่ไกลมากนัก ยังคงมีอาการเหนื่อยอยู่ ต่อมาคุณแม่ก็ท้องลูกอีกคน ซึ่งก็คลอดออกมาเป็นเด็กปกติดี แต่เนื่องจากน้องอ๊อฟเป็นโรคหัวใจทำให้มีค่าใช้จ่ายสูงและยังมีลูกเล็กอีกคน ฐานะทางการเงินของคุณพ่อคุณแม่ก็ยิ่งแย่ลงและลำบากมากยิ่งขึ้น รวมทั้งเมื่อปี 2554 คุณพ่อกับคุณแม่ได้แยกทางกัน ทำให้น้องจุฑาชัยขาดการรักษาและติดตามอาการไปช่วงระยะหนึ่ง ซึ่งคุณแม่เล่าว่าพอแยกทางกับคุณพ่อแล้วคุณแม่ก็ไม่มีเงิน ไม่มีโทรศัพท์เลยมารับจ้างทำงานก่อสร้างแถวสมุทรสาครและพาลูกทั้ง 2 คนมาอาศัยอยู่ในแคมป์คนงานก่อสร้างด้วยกัน โดยได้ค่าแรงวันละ 230 บาท ซึ่งแค่ค่ากินอยู่ 3 คนแม่ลูกก็หมดแล้วจึงไม่มีเงินพาน้องไปหาหมอ

               จนกระทั่งปี 2555 ลูกคนเล็กจะถึงเกณฑ์ต้องเข้าโรงเรียนและน้องอ๊อฟจะต้องเข้าเรียนม.1 คุณแม่จึงได้ส่งลูกทั้ง 2 คนไปอยู่กับคุณพ่อที่อุทัยธานี เนื่องจากคุณแม่ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งที่แน่นอน ซึ่งเมื่อกลับไปอยู่กับคุณพ่อที่อุทัยธานีก็ยังคงไม่ได้เข้ารับการรักษาตัวต่อ น้องจึงมีอาการแย่ลงเรื่อยๆ  จนกระทั่งช่วงปีใหม่ของปี 2557 คุณแม่ทราบข่าวว่าน้องไม่สบายต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลอุทัยธานีเนื่องจากมีอาการน้ำท่วมปอด คุณแม่จึงได้ลงไปรับตัวน้องอ๊อฟมารักษาตัวที่กรุงเทพฯ ซึ่งทางโรงพยาบาลอุทัยธานีก็ยังไม่อนุญาตให้น้องออกจากโรงพยาบาลเนื่องจากน้องอาการยังไม่ปลอดภัย แต่ทางโรงพยาบาลก็ไม่ได้มีแพทย์เฉพาะทางด้านโรคหัวใจเด็ก คุณแม่จึงเสี่ยงที่จะขอพาน้องมารักษาตัวที่กรุงเทพฯ เอง ซึ่งหากเกิดอะไรขึ้นกับน้องระหว่างเดินทางมาคุณแม่ก็พร้อมจะยอมรับ ทางโรงพยาบาลจึงได้อนุญาตให้น้องเดินทางมากับคุณแม่เพื่อมารักษาตัวต่อที่โรงพยาบาล เมื่อคุณแม่พาน้องมาถึงกรุงเทพฯ ก็ได้พาน้องมาติดต่อที่มูลนิธิเพื่อสนับสนุนการผ่าตัดหัวใจเด็ก สถาบันโรคหัวใจ โรงพยาบาลราชวิถี ซึ่งทางมูลนิธิฯ ก็ได้ให้น้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลในวันนั้นเลยเพราะน้องมีอาการหนักมาก จนกระทั่งเดินไม่ไหว จึงต้องเข้ารับการผ่าตัดใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจโดยด่วน น้องต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลราชวิถีนานถึง 3 เดือนกว่าจะออกจากโรงพยาบาลได้ พอออกมาน้องก็กลับไปอยู่บ้านที่อุทัยธานีกับคุณพ่อ เวลามาตรวจติดตามอาการแรกๆ คุณแม่ก็จะนั่งรถตู้ไปรับน้องที่อุทัยธานีเพื่อมาตรวจที่โรงพยาบาลราชวิถี จนกระทั่งหลังๆ น้องอายุเกิน 18 ปีแล้วก็ให้คุณพ่อส่งขึ้นรถตู้มาแล้วคุณแม่ไปรับที่คิวรถตู้แล้วพามาตรวจ จนกระทั่งเมื่อปี 2560 คุณแม่จึงได้รับน้องอ๊อฟมาอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพฯ เนื่องจากน้องสุขภาพไม่แข็งแรง เดินขึ้นบันไดก็เหนื่อย จึงไม่สามารถไปโรงเรียนหรือทำกิจกรรมต่างๆ ได้ น้องจึงต้องออกจากโรงเรียนมาอยู่กับคุณแม่

               ปัจจุบันคุณแม่และน้องอ๊อฟเช่าห้องอยู่แถวมีนบุรี โดยคุณแม่ก็ยังคงทำงานรับจ้างก่อสร้างเหมือนเช่นเดิม มีรายได้วันละ 500 บาท บางวันก็มีคนจ้างบางวันก็ไม่มีงาน ก็ต้องกลับไปอยู่ที่ห้องเช่าด้วยกัน และคุณแม่ก็พยายามจะทำงานหาเลี้ยงน้องให้ดีขึ้นต่อไป