ชีวิตของหนู

ดิฉันเป็นคุณแม่ของ “น้องปลื้ม” เด็กชายกรวิชญ์ รอดการ เป็นคนจังหวัดพังงา มีโอกาสได้รู้จัก “มูลนิธิฯ” ก็เมื่อได้นำน้องปลื้มมารักษาต่อที่โรงพยาบาลราชวิถี รู้สึกว่ามูลนิธิฯ เป็น เหมือนผู้ให้ชีวิตใหม่แก่เด็กที่เป็นโรคหัวใจ เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ทำให้ลูกของเรามีชีวิตอยู่ได้จน ถึงขณะนี้

ตั้งแต่ดิฉันได้ให้กำเนิดน้องปลื้ม เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2546 น้องปลื้มต้องถูกใส่ เครื่องช่วยหายใจไว้ตั้งแต่แรกคลอด และอยู่ในห้อง NICU และคุณหมอเด็กก็ยังไม่สามารถให้คำตอบ ได้ว่าน้องปลื้มเป็นอะไร และได้บอกกับคุณแม่ว่า “ให้เตรียมทำใจไว้ น้องอาจจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน” ตอนนั้น ดิฉันรู้สึกมึนตื้อไปหมด เมื่อเดินไปดูลูกที่ห้อง NICU รู้สึกสงสารลูกเหลือเกิน เกิดมาได้ไม่นานก็ต้องจากแม่ไป ดิฉันได้แต่ร้องไห้และภาวนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้ช่วยคุ้มครองให้ลูกอยู่รอด ต่อไป ขณะนั้นพี่สาวของดิฉันซึ่งเป็นพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต ได้ปรึกษาเกี่ยวกับอาการ ของน้องปลื้มว่าคุณหมอเด็กที่ตะกั่วป่าได้ให้ยาทุกตัวที่คิดว่าจะสามารถรักษาน้องได้ แต่คุณหมอเด็ก ของวชิระฯ ก็ไม่เห็นด้วยว่า เด็กอาจจะผิดปกติทางด้านสมองได้ไม่ควรยื้อเด็กไว้ ดิฉันจึงได้เซ็นต์ ยินยอมให้คุณหมอเด็กของตะกั่วป่าลดยาให้น้อง เมื่อลดยาได้ 1 วัน ส่วนตัวด้านบนของน้องแดง และด้านล่างเขียว ทำให้คุณหมอเด็กของตะกั่วป่าคิดว่า น้องอาจเป็นโรคหัวใจชนิด PDA และจะส่ง น้องไปหาแพทย์โรคหัวใจที่ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์

เมื่อน้องปลื้มอายุได้ 7 วัน คุณหมอเด็กโรงพยาบาลตะกั่วป่า ได้ส่งต่อน้องปลื้มไปทำ แอคโค่ ที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ เมื่อเดินทางไปถึง รพ.มอ. แพทย์ได้ทำแอ็คโค่และวินิจฉัยว่า น้องปลื้มเป็น “โรคหัวใจชนิด PDA” จะต้องผ่าตัดด่วนภายในอายุ 2 สัปดาห์ โดยจะต้องเดินทางไป ผ่าตัดที่กรุงเทพมหานคร ตอนนั้น ดิฉันคิดว่าทำอย่างไรก็ได้ให้ลูกของดิฉันหายเหมือนเด็กปกติทั่วไป จะหมดเงินไปเท่าไรดิฉันก็จะสู้ ก่อนจะเดินทางไปผ่าตัดที่กรุงเทพมหานคร แพทย์ทาง มอ. ได้ทำการ สวนหัวใจให้น้องปลื้ม นานอยู่ 4 ชั่วโมง และน้องปลื้มมีปัญหาเรื่องเลือดแข็งตัวยาก ต้องเรียกศัลยแพทย์มาเย็บหยุดเส้นเลือดให้ ทำให้น้องปลื้มติดเชื้อในกระแสเลือด และต้องรักษาฆ่าเชื้อนี้ก่อน ทำให้ผ่าตัดภายในอายุ 2 สัปดาห์ไม่ได้ จึงนอนรักษาตัวอยู่ใน มอ.ไประยะหนึ่งก่อน

เมื่อน้องปลื้มสามารถถอดเครื่องช่วยหายใจได้ มีอายุได้ 20 วัน ดิฉันและพ่อของน้องปลื้ม และพี่สาวที่เป็นพยาบาล ได้พาน้องปลื้มมาพบ นายแพทย์พีระพัฒน์ฯ และได้นอนรักษาตัวที่ โรงพยาบาลเด็กอยู่ก่อนประมาณ 10 วัน ดิฉันได้พบกับนายแพทย์พีระพัฒน์ฯ คุณหมอบอกว่าให้ เลี้ยงดูน้องปลื้มให้มีน้ำหนักตัว ประมาณ 4 ก.ก. ก่อน จึงจะผ่าตัดได้ และให้ไป F/U กับคุณหมอ สมเกียรติฯ ที่ มอ. ไปพลางก่อน ถ้ายังไงคุณหมอสมเกียรติฯ จะติดต่อกับคุณหมอพีระพัฒน์ฯ เอง

หลังจากนั้น ดิฉันได้พาน้องปลื้มกลับมาบ้าน และระหว่างรอการผ่าตัด ได้ก็พาน้อง ไป F/U กับคุณหมอสมเกียรติฯ ที่ มอ. จำนวน 2 ครั้ง และครั้งที่ 2 คุณหมอแจ้งว่าน้องปลื้มมีอาการ ตัวเขียวมาก ออกซิเจนในเลือดน้อยมาก ต้องรีบพาไปพบแพทย์ที่ กทม. และคุณหมอฯ ได้ติดต่อกับ นพ.พีระพัฒน์ ฯ แล้ว ให้พาไป กทม. ได้เลย ดิฉันจึงพาน้องมาพบแพทย์พีระพัฒน์ฯ คุณหมอให้น้อง ไปสวนหัวใจที่ รพ.เด็กก่อน น้องนอนพักรักษาตัวที่ รพ.เด็ก 3 วัน แล้วกลับบ้าน เดือนต่อมาพามา พบแพทย์ตามนัดอีกครั้ง และสิ่งที่ดิฉันรอคอยก็มาถึง คุณหมอได้นัดวันผ่าตัดน้องปลื้มในวันที่ 12 ธันวาคม 2546 และให้มา Admit ที่ รพ.เด็กในวันที่ 11 ธันวาคม 2546 และเมื่อถึงวันนัดดิฉันและ คุณพ่อของน้องปลื้มได้พาน้องมาตามนัด วันที่12 ธันวาคม 2546 ได้มีเจ้าหน้าที่จาก รพ.ราชวิถี มารับ น้องปลื้มที่โรงพยาบาลเด็ก และมารอเข้าห้องผ่าตัดที่ ตึกสอาดบริพัฒน์ ชั้น 3 ขณะรอ พยาบาลได้นำ ยานอนหลับให้น้องปลื้มกิน เมื่อถึงเวลาเข้าห้องผ่าตัด พยาบาลได้มารับตัวน้องไปชั้น 2 ดิฉันกับคุณพ่อ ได้อุ้มน้องไปส่งถึงห้อง และนั่งรอน้องผ่าตัดอยู่หน้าห้องผ่าตัด

ขณะที่ดิฉันนั่งรออยู่หน้าห้องผ่าตัด ดิฉันได้อธิษฐานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า ถ้าน้องจะอยู่ รอดปลอดภัย ก็ขอให้รอดปลอดภัยครบ 32 ประการ อย่าให้ต้องพิการส่วนใดอีกเลย หากต้องพิการ ก็ขอปล่อยให้น้องจากดิฉันไป ขออย่าให้น้องต้องอยู่อย่างทรมานบนโลกใบนี้อีกเลย ..เมื่อเวลาผ่าน ไปถึงตอนเย็น คุณหมอออกมาจากห้องผ่าตัด และบอกว่าเรียบร้อยดี และจะผ่าตัดน้องอีกครั้ง ใน 10 วันข้างหน้า ดิฉันได้เห็นหน้าลูกตอนที่เจ้าหน้าที่เข็นน้องจากห้องผ่าตัดไปห้อง ICU ดิฉันสงสารลูกมาก ได้แต่ภาวนาขอให้ลูกปลอดภัย ปลอดภัย และปลอดภัย เมื่อครบ 10 วัน คุณหมอได้ผ่าตัดน้องอีกครั้ง และการผ่าตัดก็ผ่านไปเรียบร้อยดี น้องปลื้มอยู่ใน ICU ประมาณ 30 วัน คุณหมอเริ่มให้น้องรู้สึกตัว (ก่อนหน้านี้น้องจะหลับตลอด) แต่น้องกลับมีปัญหาเรื่องสายตา น้องไม่จ้องหน้าและไม่สบตาเลย คุณแม่สงสารน้องมาก กลัวว่า น้องจะตาบอด ก็ได้แต่ภาวนาหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยคุ้มครองน้อง ขออย่าให้น้องตาบอดเลย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ช่วยคุ้มครองน้องจริง ๆ เมื่อน้องถอดเครื่องช่วยหายใจออก และคุณแม่ได้อุ้มน้อง ไว้และจ้องหน้ามองน้อง น้องได้จ้องหน้าแม่และยิ้มกับแม่ ตอนนั้นแม่รู้สึกว่าภูเขาที่แม่แบกไว้ในอก ได้ถูกยกออกไปแล้ว แม่ดีใจกว่าสิ่งใดในโลก ที่น้องมองเห็นแม่แล้ว แม่ได้รีบโทรศัพท์ไปบอกคุณพ่อ ซึ่งได้กลับไปพังงาเพื่อทำงานก่อน คุณพ่อได้พาคุณย่า,คุณยาย และพี่สาวของน้องปลื้ม ขึ้นมาเยี่ยม น้องที่โรงพยาบาลฯ และน้องได้ออกจากห้อง ICU แล้ว ขึ้นมาพักฟื้นที่ ชั้น 3 ตึกสอาดบริพัฒน์ น้องพักรักษาตัวต่ออีก 3 สัปดาห์ ก็ได้กลับบ้าน และนัดมา F/U ตลอด หลังจากการผ่าตัดเสร็จสิ้นเรียบร้อย และได้พาน้องปลื้มกลับไปบ้าน น้องปลื้มก็มี สุขภาพแข็งแรง และดีขึ้นตลอด ไม่มีอาการแทรกซ้อนใด ๆ น้องปลื้มจากเด็กที่ตัวดำ ปากเขียว เล็บมือเล็บเท้าเขียว ก็กลายเป็นเด็กตัวขาว ปากแดง แก้มแดง เล็บมือเล็บเท้าแดง กินเก่ง น้ำหนักตัว ขึ้นตามเกณฑ์ พัฒนาการสมวัย คุณแม่รู้สึกขอบคุณ คุณหมอพีระพัฒน์ และทีมแพทย์ผ่าตัด และพยาบาลทุกท่าน ที่ให้การช่วยเหลือดูแลรักษาน้องปลื้มเป็นอย่างดีมาตลอด รู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่มาน้องมาพบแพทย์ ตามนัด พยาบาลให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ขอบคุณที่มีมูลนิธินี้เกิดขึ้น มูลนิธิเปรียบเสมือนผู้ให้ชีวิต ใหม่ แก่เด็ก ๆ ที่เป็นโรคหัวใจทั้งหลาย คือผู้ที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่มีความหวังที่จะได้อยู่กับลูกต่อไปอีก ตราบนานเท่านาน ดิฉันและครอบครัวขอให้มูลนิธินี้อยู่กับเด็กไทย ตลอดไป

คุณแม่น้องปลื้ม